ค้นพบตัวตนผ่านกิจกรรมหลากหลาย
นักเรียนหญิงในกรุงเทพมหานครในหลักสูตรนานาชาติที่เติบโตมาด้วยความร่าเริงและอิสระในการเลือกสรรประสบการณ์ชีวิต ได้พบกับจุดหักเหของชีวิตเมื่อต้องเลือกเส้นทางอนาคตในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเป็นผู้ที่มีความชื่นชอบในกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งกีฬา ดนตรี การเต้นรำ และศิลปะ ในวัยเด็ก เธอได้เริ่มต้นการเรียนรู้ศิลปะจากการเรียนศิลปะช่วงปิดเทอม ความสุขที่ได้จากการวาดภาพทำให้เธอลงลึกในการเรียนรู้จนถึงขั้นวาดภาพวันละ3 ชั่วโมง ทักษะทางศิลปะนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมคุณสมบัติด้านความละเอียดรอบคอบ ความอดทน และทักษะการใช้มือ
เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญของการเลือกศึกษาต่อในชั้นอุดมศึกษา นางสาวปังหวาน ผลพิรุฬห์ ในชั้นมัธยมศึกษาที่ 4 เธอได้ตระหนักว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ใช้ความสามารถหลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านการสื่อสารกับผู้ป่วย ความรู้ทางวิชาการ และจิตใจที่มุ่งมั่นเพื่อสังคม ความหลากหลายในประสบการณ์ที่สั่งสมมากลายเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้เห็นว่าอาชีพแพทย์สามารถบูรณาการความสามารถต่างๆ เข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางแพทยศาสตร์ ยื่นสมัครในรอบ พอร์ตโฟลิโอ การสร้าง Portfolio ที่แข็งแกร่ง การเตรียมตัวเข้าคณะแพทยศาสตร์ผ่านระบบ Portfolio ต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง 6 โดยเน้นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การสื่อสาร และการบริการสังคม โครงการสร้างสรรค์เพื่อสังคมที่น้องปังหวานร่วมกันกับเพื่อนมัธยมปลายคือโครงการ “Sister Care” หนึ่งในโครงการสำคัญที่แสดงถึงจิตใจของการเป็นแพทย์ มุ่งให้ความรู้แก่นักเรียนหญิงวัยประถมศึกษาปีที่ 4-6 เกี่ยวกับสุขภาพในวัยเจริญพันธุ์ การเติบโตก่อนวัยของเพศหญิง
ปังหวานกล่าวว่า “โครงการนี้เกิดจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลและงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการเป็นสาวก่อนวัย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสังคมปัจจุบัน รวมทั้งผ่านประสบการณ์ตรงของตนที่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกเคว้งคว้าง หากมีโครงการที่พี่สาวช่วยดูแลน้องสาวทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต จะทำให้น้องๆ ประถมปลาย ผ่านช่วงเวลานั้นได้ไม่ยากนัก การดำเนินโครงการผ่านการบรรยาย กิจกรรม workshop การให้คำแนะนำในโรงเรียนต่างๆ ช่วยให้เด็กหญิงเตรียมความพร้อมและมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เลี้ยงลูกแบบเศรษฐศาสตร์ สร้างคนให้เป็นหมอ ช่วยสังคมไม่สิ้นสุด ด้วย Portfolio ที่แข็งแกร่ง โดดเด่น จึงทำให้ปังหวาน ผ่านการคัดเลือกเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี 2568 ได้สำเร็จ ส่วนสำคัญนั่นคือวิธีการเลี้ยงดูจากครอบครัว ทีเปิดโอกาสให้ทดลองฝึกทักษะอย่างหลากหลาย
ศาสตราจารย์ ดร. ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ ผู้ปกครองของน้องปังหวาน เผยว่า ตนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ลงทุนกับลูกไม่เสียใจเลยสักวัน ที่เลี้ยงลูกมาแบบนี้สะท้อนถึงประโยคที่ลูกสาวพูดว่า “หนูจะทำให้ผู้ป่วยที่ได้เจอกับแพทย์หญิงปังหวานรู้สึกว่าเขาโชคดีที่สุด เพราะหนูจะทำเต็มที่สุดความสามารถเพื่อช่วยให้ผู้เขามีสุขภาพดีขึ้น”
ศาสตราจารย์ปังปอนด์ เผยว่า การเลี้ยงลูกของตนและคุณพ่อของน้องปังหวาน (ศาสตราจารย์ ดร. พิริยะ ผลพิรุฬห์) จะเน้น 3 ด้าน คือ มีสุขภาพดี เป็นคนดี มีความสุข และเน้น 4 สิ่งที่ห้ามพูดห้ามคิด “ยาก ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำไม่ไหว” ซึ่งอาจไม่เหมือนครอบครัวอื่น ๆ คือให้ลูกได้ลองทำ มีทัศนคติที่อยากทำให้ได้ และสนับสนุนในทุกด้านโดยไม่คาดหวังกับผลลัพธ์มากนัก แม้ตนและสามีจะเป็นนักวิชาการทั้งคู่ แต่ไม่เคยคาดหวังว่าลูกจะโดดเด่นด้านวิชาการ เพียงแต่สนับสนุนทุกอย่าง เพราะเชื่อว่า พรสวรรค์ของเด็กสามารถมีมากกว่า 1 ด้าน แล้วเด็กหญิงปังหวานในวัย 8 ขวบก็ทำเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ ปังหวานสามารถวาดภาพลายเส้นศิลปะที่มีความละเอียดลึกซึ้ง และสร้างรายได้มากถึง 6 หมื่นบาทจนถึงอายุ 10 ขวบ
แม้ขณะนั้นยังไม่มั่นใจว่าลูกจะไปทิศทางไหน เพราะเขาทำได้ดี มีความสุขกับทุกอย่างที่ทำ เรามีหน้าที่รับ-ส่ง ไปยังจุดหมาย และส่งเสริมทุกกิจกรรม กีฬา ดนตรี ศิลปะ วิชาการ วิจัย ในวัย มัธยมปลาย ปังหวานได้รางวัลโครงงานวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน และมุ่งมั่นกับการทำงานต่อในห้องแล็ปจนอยากส่งงานวิจัยตีพิมพ์ใน SCOPUS ซึ่งอาจไม่ใช่ Quartile ลำดับต้นๆ เราทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำและขับรถ เตรียมขนม น้ำ/อาหาร อธิบายในสิ่งที่ครูให้ไปค้นหามาในงานวิจัยต้นแบบ ซึ่งเขาอยากลองทำ แม่สนับสนุนเต็มที่ แต่ไม่ทำให้เพราะอยากให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาร้องไห้ไปหลายครั้งที่การทดลองในแล็ปเฟล เพราะนั่นคือการเรียนรู้ สุดท้ายมีงานวิจัยตีพิมพ์ใน SCOPUS 2 งาน ในวัย 16 ปี ต่อยอดจากรางวัลโครงงานวิทยาศาสตร์การเป็นพิษของดอกไม้ตกแต่งอาหาร ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี และอีกงานเรื่องทัศนคติความเสี่ยงของคนต่อโควิด-19 ต่อยอดจากความสนใจเรื่องนโยบายสาธารณสุขจากช่วงการระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ปังหวานยังมีภาษาอังกฤษที่ดี มีความมั่นใจ มีเสน่ห์ โดยชนะเลิศในการแข่งขันสุนทรพจน์ระดับประเทศ และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งในเวทีระดับภูมิภาคที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในผู้ร่วมแข่งขัน ปังหวานยังได้ไปนำเสนอผลงานวิจัยในระดับประเทศและระดับนานาชาติอีก 2 งานด้วย และได้รับคัดเลือกไปแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายสาธารณสุขต่อกลุ่มด้อยโอกาส นำเสนอโครงการ Sister’s Care ของเขาที่ UNICEF อีกด้วย
คุณแม่ปังปอนด์มีความสุขได้แต่ยิ้มตามเมื่อลูกพูดว่า “ปังหวานดีใจมากนะแม่ ที่ได้มีโอกาสมาพูด Public speaking และนำเสนองานวิจัย บนเวทีแบบนี้ หนูได้บอกเล่าสิ่งที่เราทำว่าเป็นประโยชน์กับสังคมขนาดไหน หนูอายุเท่านี้มาพูดร่วมกับพี่ๆ และผู้ใหญ่ที่เก่งๆทั้งนั้น ได้ไปต่างประเทศ ได้นอนห้องพักฟรี เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มากๆ”
คุณแม่ปังปอนด์ เผยว่า วันหนึ่งลูกสาวเดินมาบอกว่าอยากเป็นหมอ “คิดว่าเขาจะเป็นหมอได้ดี เขาพูดเสมอเวลาท้อในการเตรียมสอบว่า เมื่อคนมาเจอแพทย์หญิงปังหวานหนู จะทำให้เขารู้สึกว่าโชคดีที่มาเจอหนู ถ้าเขาดีขึ้น หนูประสบความสำเร็จ หนูยอมเหนื่อยอ่านหนังสือทำงานหนักคนเดียว จะได้ช่วยคนได้อีกเยอะ” การเรียนแพทย์เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองมีหน้าที่สนับสนุนโดยให้กำลังใจ และเชื่อว่าเขาทำได้
เลี้ยงลูกแบบนักเศรษฐศาสตร์ สู่เส้นทางเป็นนักศึกษาแพทย์
ศาสตราจารย์ปังปอนด์ เผยถึงหลักการในการเลี้ยงลูกว่า “ทำให้ลูกคิดถึงเราเป็นคนแรก เมื่อเสียใจคิดถึงเราคนแรก เมื่อดีใจคิดถึงเราคนแรก” ตนจริงจังมากกับการเลี้ยงลูกให้ดีก่อน โดยไม่รับตำแหน่งบริหารมามากกว่า10 ปี คือความสำคัญแรกในชีวิตคือลูก แต่ไม่ได้บังคับเรียน เน้นที่กระบวนการ วินัย และไม่คาดหวัง เน้นให้เขามีแรงผลักจากตัวเอง แต่ให้เขาไว้วางใจว่ามีแม่อยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ ม. 1 – ม.6 ไม่เคยดูเกรดลูกเลย (ในการเรียนระบบนานาชาติ จะมีระบบให้ผู้ปกครองเข้าไปติดตามผลการเรียนลูกทุกวัน) ลูกจะมาเล่าเอง ว่าได้คะแนนเท่าไหร่ เขาจะปรึกษาว่า จะทำอย่างไร โดยเราเน้นมากเรื่องทัศนคติ วินัย และจริยธรรม เราเชื่อมั่นว่าลูกเราเรียนได้ เพราะถ้าเขามีปัญหา เช่น เครียดเกินไป หรือทำแล้วยังไม่ได้ตามที่เขาคาดหวัง เขารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ พร้อมช่วยเหลือเสมอ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย เพราะเราปล่อยให้เขาโต เด็กวัยนี้ถามมากไม่ได้ เพราะก็จะเหมือนไม่มั่นใจในตัวเขา หากเราเชื่อมั่นในตัวเด็กแล้วเด็กจะเรียนและทำกิจกรรมอย่างมีความสุขด้วยพลังขับจากตัวเขาเอง”
“เราเชื่อว่าถ้าเด็กอยากทำอะไร เขาจะขวนขวายเอง เช่น ภาษาจีน ปังหวานสามารถพูดภาษาจีนได้ดี เพราะเป็นคนอยากเรียนจีนเองในช่วงโควิดที่ว่างมาก เมื่อเด็กอยากทำอะไรเอง เขาจะเชื่อมั่นตัวเอง เพราะฉะนั้นอยากเป็นหมอต้องทำเอง ที่บ้านไม่มีการให้รางวัล ไม่มีการให้ของขวัญวันเกิด เพราะโดยปกติ ให้ตามความจำเป็นเต็มที่อยู่แล้ว ถ้ามีสิ่งที่ต้องการต้องนำเสนอว่า สิ่งนั้น เช่น ไอแพด จะเอาไปทำอะไรบ้าง มันคุ้มค่าหรือมีโทษหรือเปล่า เป็นลูกนักเศรษฐศาสตร์ต้องคิดวิเคราะห์ให้เป็นอย่างมีเหตุมีผล”
การเตรียมตัวเข้าศึกษาแพทย์ของปังหวาน ไม่ใช่การโหมอ่านหนังสือหนักดึกดื่น หรือการเรียนพิเศษแต่เธอเลือกใช้วิธีการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงจูงใจในระยะยาวมากกว่าการบีบคั้นตัวเองในช่วงเวลาสั้นๆ หลักการสำคัญของการบริหารเวลาคือ เมื่อให้ความสำคัญกับสิ่งใดอย่างแท้จริง จะหาเวลาให้สิ่งนั้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพื่อเป้าหมายใหญ่ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกโรงเรียน “ปังหวานยังเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน ตั้งแต่งานพิธีการ พิธีกร ผู้นำการแสดง และเป็นนักกีฬา vasity team ของโรงเรียน 4 กีฬา ได้รับเหรียญรางวัลทั้งเรียนดี กิจกรรมและกีฬากองใหญ่ ทั้งหมดนี้คือเขาทำเพราะชอบทำ ไม่มีใครมาบังคับ หรือไม่ได้ทำเพื่อทำพอร์ต ทุกอย่างจัดเต็ม สุดท้ายเมื่อเวลาเขียนพอร์ตก็ไม่ได้ใช้ตั้งหลายอย่าง เพราะต้องตัดทิ้งไป”
มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ศูนย์กลางการศึกษาแพทย์ชั้นนำของภาคอีสาน
ศาสตราจารย์ปังปอนด์ กล่าว ถึงความเชื่อมั่นในสถาบันการศึกษาว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงเรียนแพทย์ ฯ ที่ผู้ปกครองวางใจ เมื่อจำเป็นต้องเลือกมหาวิทยาลัยให้ลูกสาว จึงปรึกษากับผู้รู้ในวงการวิชาการที่เป็นแพทย์ ผู้บริหาร และนักวิชาการ 10 ท่าน ฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่าต้องเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่น
“เชื่อว่า ลูกจะอยู่อย่างมีความสุข มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีอาจารย์แพทย์ที่เก่งที่มีองค์ความรู้มากมาย มีอาจารย์แพทย์ บุคลากร และโครงสร้างหลักสูตรที่จะหล่อหลอมให้เค้าเก่ง และเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ เชื่อว่าเค้าจะได้เจอคนไข้หลากหลาย จะพัฒนาตัวเอง อาจารย์ที่นี่จะสอนเขาให้มีองค์ความรู้ไปใช้ในการรักษาผู้ป่วย ตรงตามปณิธานของเขาเองว่า จะนำความรู้ไปรับใช้ประชาชน ช่วยเหลือผู้คนให้คนที่เจอเขาเป็นคนโชคดีตามที่เขาคาดหวัง ปังหวานโชคดีมากที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เห็นศักยภาพจากผลการเรียน แฟ้มผลงาน และการสอบสัมภาษณ์ และแม่ก็เชื่อมาตลอดว่าคณะแพทย์ฯ ที่ได้ลูกแม่ไปจะเป็นที่ที่โชคดี เพราะพ่อกับแม่เลี้ยงเขามาอย่างดีที่สุด และเชื่อว่าลูกสาวคนนี้จะเบ่งบานประดับช่อกาลพฤกษ์ที่ 62 ให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ภาคภูมิใจอย่างแน่นอน ”
มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นสถาบันการศึกษาที่มีคณะแพทยศาสตร์อันดับหนึ่งในภาคอีสาน และเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำที่ผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม การเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการศึกษาระดับสูง แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสุขภาพของภาคอีสานและประเทศไทย เส้นทางสู่ความเป็นแพทย์ไม่ใช่เพียงการไล่ตามความฝัน แต่เป็นการค้นพบตัวตนที่แท้จริงและการนำความสามารถที่หลากหลายมาบูรณาการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแพทย์ที่มีคุณภาพ ผู้ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศต่อไป
น้องปังหวาน ให้ข้อแนะนำสำหรับน้องๆ ที่มีความฝันเป็นแพทย์ คือ การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ทุกคนมีความสามารถและศักยภาพที่โดดเด่นเฉพาะตัว การเชื่อมั่นในตนเองเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ ควรมองเป้าหมายเป็นขั้นตอนแทนการมองเป้าหมายระยะไกลจนรู้สึกท้อใจ ควรแบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะสั้นๆ ทำทีละขั้นตอน เก็บคะแนน เก็บประสบการณ์ ค่อยๆ ก้าวไปสู่เป้าหมายใหญ่ และมีความอดทนในการเดินทางสู่ความเป็นแพทย์ที่ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง โดยปังหวานเชื่อว่าเมื่อมีความตั้งใจจริง ทุกอุปสรรคจะกลายเป็นบันไดแห่งความสำเร็จ “สำหรับทุกคนที่มีความฝันเป็นแพทย์ จงเชื่อมั่นในตนเอง เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ และมุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง เพราะการเป็นแพทย์ไม่ใช่เพียงอาชีพ แต่เป็นการทุ่มเทชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนในสังคม” ปังหวาน ผลพิรุฬห์ นักศึกษาแพทยศาสตร์ชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวปิดท้ายอย่างน่าขบคิด
บทความ : จิราพร ประทุมชัย